รามเกียรติ์ปฐมบท :ตอนที่ 4 อัชบาลปราบยักษ์อสุรพรหม




               หลังจากท้าวสหบดีพรหมสร้างกรุงลงกา ประทานให้ท้าวธาดาพรหม (น้องชายของท้าวมาลีวัคคพรหม) ลงไปปกครอง ชื่อว่า จตุรพักตร์ มีลูกเป็นอสูร (ยักษ์) ชื่อ “ลัสเตียน” ขณะที่ทางฝั่งกรุงศรีอยุธยาท้าวอโนมาตันสวรรคต “อัชบาล” ซึ่งเป็นโอรสก็ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาสืบมา



       ในขณะนั้นมียักษ์นิสัยพาลตนหนึ่งชื่ออสุรพรหม (หรืออสุรพักตร์) อาศัยอยู่บริเวณเนินเขาจักรวาล (เขาพระสุเมรุ) มีความทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ในสามโลก จึงเพียรพยายามมาเข้าเฝ้าพระอิศวรเป็นประจำติดต่อกันมานานหลายปี จนครั้งหนึ่งประจวบเหมาะอสุรพรหมก็มาเข้าเฝ้าพระอิศวรเช่นเคย  แล้วก็ทูลพระอิศวรว่า “ตนเองได้มอบตนเป็นข้ารองบาทพระอิศวรมาช้านาน ยังไม่เคยได้รับพรอันใดจากพระอิศวรเลย วันนี้จึงขอประทานคทาเพชรและขอพรอย่าให้มีใครเอาชนะตนได้” เมื่อพระอิศวรได้ฟังรู้สึกเมตตาจึงประทานคทาเพชรและให้พรตามที่อสุรพรหมขอ เมื่อได้รับอาวุธและพรจากพระอิศวรแล้ว ก็เหาะกลับไปด้วยความกำเริบใจ

        เมื่ออสุรพรหมกลับไปแล้ว ท้าวมาลีวัคคพรหม (พี่ชายของธาดาพรหมหรือจตุรพักตร์) ผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่อสุรพรหมขออาวุธและพรจากพระอิศวร จึงกราบทูลติติงพระอิศวรไปว่า “ยักษ์อสุรพรหมนี้เป็นยักษ์อันธพาล นิสัยไม่ดี การที่พระองค์มอบคทาเพชร และพรวิเศษให้แก่มันไปนั้น จะสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว แม้แต่ท้าวอัชบาลแห่งกรุงศรีอยุธยาไม่อาจเอาชนะมันได้เป็นแน่ จึงขอให้พระองค์ช่วยมอบอาวุธและพรเพื่อนำไปมอบแก่ท้าวอัชบาลให้สามารถเอาชนะยักษ์ตนนี้ได้ด้วยเถิด”  เมื่อพระอิศวรได้ฟังก็นึกขึ้นได้ว่าตนได้ให้อโนมาตันไปครองกรุงศรีอยุธยามาช้านาน ตอนนี้อัชบาลผู้บุตรได้สืบราชสมบัติแทนบิดาแล้ว ตนนั้นไม่ได้สนใจหลงลืมไปเสียนาน จึงโปรดประทานพระขรรค์เพชรและพรฝากมาลีวัคคพรหมให้อัญเชิญไปมอบแก่ท้าวอัชบาลที่กรุงศรีอยุธยา การนำเทพอาวุธและพรจากพระอิศวรไปมอบให้อัชบาลที่กรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้ ทำให้อัชบาลและมาลีวครพรหมกลายเป็นสหายกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา                       
     อสุรพรหมเมื่อได้อาวุธเป็นคทาเพชร และพรที่ว่าไม่มีใครรบชนะได้ ด้วยความหยิ่งผยองอยากจะเป็นใหญ่กว่าผู้ใดทั่วทั้งสิบทิศสามโลก จึงเหาะออกเขาจักรวาลมุ่งหน้าไปยังสวรรค์ แล้วร้องประกาศก้องไปทั่วทั้งสวรรค์ว่า “ตัวกูชื่ออสุรพักตร์ ศักดาไม่มีใครเทียบได้” แล้วก็เข้าสู้รบทำร้ายเหล่าเทวดาและฤาษีแต่ไม่มีใครสู้ฤทธิ์เดชของอสุรพรหมได้ ต่างพากันหลบหนีวุ่นวายไปทั่วทั้งโลกและสวรรค์ มีเทวดาและฤาษีบางกลุ่มหลบหนีไปถึงกรุงศรีอยุธยา จึงแจ้งแก่ท้าวอัชบาลให้ทรงทราบว่า บัดนี้อสุรพรหมก่อความวุ่นวายไปทั่วทั้งโลกและสวรรค์ ถึงตอนนี้ยังคงสู้รบอยู่กับเหล่าเทวดาและฤาษีบริเวณเนินเขาพระสุเมรุ และขอร้องให้ท้าวอัชบาลช่วยปราบยักษ์ตนนี้เสีย  เมื่อท้าวอัชบาลได้ฟังดังนั้นก็ตระเตรียมกองทัพ ขึ้นทรงมหาพิชัยราชรถขับม้าเหาะมุ่งหน้าไปยังเนินเขาพระสุเมรุ

              เมื่ออสุรพรหมเห็นมหาพิชัยราชรถห้อมล้อมด้วยหมู่เทวดามากมายตรงมาทางตนก็สงสัย จึงประกาศร้องไปว่าเอ็งเป็นใครกันทำไมถึงไม่รู้จักเกรงกลัวกู กูอสุรพักตร์ผู้มีฤทธิ์ ที่ทั้งโลกนี้หามีผู้ใดเอาชนะได้ไม่ แล้วพูดต่อด้วยความมั่นใจในฤทธิ์เดชและพรที่ได้จากพระอิศวรต่อไปว่า                

                               “เอ็งเป็นแต่เพียงมนุษย์น้อย               เปรียบดังหิ่งห้อยกะจิริด
                                หรือจะมาแข่งแสงพระอาทิตย์           ชีวิตจะม้วยไม่พริบตา”
ฝ่ายอัชบาลได้ฟังดังนั้นก็ตอบกลับไป  
                                 "ตัวมึงดั่งหนึ่งมฤคา                     กูคือพญาราชสีห์
                                 ทรงนามอัชบาลธิบดี                    ผ่านบุรีอยุธยาสุธาธาร
                                 ฤาษีเทวาสุราลัย                          เชิญกูให้มาสังหาร
                                 เพราะมึงประพฤติใจพาล              ขุนมารจะม้วยชีวัน"

                              





        เมื่อได้ฟังดังนั้นอสุรพรหมก็โกรธแค้นพุ่งเข้ารบสู้กับอัชบาลเป็นพัลวัน  ฝ่ายอสุรพรหมได้ทีเงื้อคทาเพชรฟาดเข้าใส่อัชบาล อัชบาลจึงยกพระขรรค์ขึ้นตั้งรับโดยทันทีทันใด ผลปรากฏว่าคทาเพชรของอสุรพรหมที่ฟาดลงไปถูกพระขรรค์เพชรของอัชบาลแล้วขาดออกเป็นสองท่อน ทำให้อสุรพรหมขาดอาวุธสิ้นฤทธิ์ต่อสู้ อัชบาลจึงสังหารอสุรพรหมได้อย่างง่ายดาย หลังจากได้สังหารแล้วอัชบาลจึงใช้พระขรรค์เพชรตัดคออสุรพรหมนำขึ้นมหาพิชัยราชรถเหาะกลับไปยังกรุงศรีอยุธยาท่ามกลางความชื่นชมยินดีของเหล่าเทวดานางฟ้า  เมื่อกลับถึงกรุงศรีอยุธยา ก็เอาหัวของยักษ์อสุรพรหมนั้นมาเสียบและสาปไว้ให้ทำหน้าที่เฝ้าอุทยานในกรุงศรีอยุธยา               
         ฝ่ายมาลีวัคคพรหม ก็เข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อขอลาไปพำนักที่เนินเขาพระสุเมรุ จึงมาขอพรจากพระอิศวรให้มีวาจาสิทธิ์ พูดอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น ฝ่ายพระอิศวรเห็นว่ามาลีวัคคพรหมเป็นคนที่ซื่อตรง จึงมอบพรให้ตามที่ขอ และตั้งชื่อให้ว่า “ท้าวมาลีวราช” ไปประจำอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุ               
      ฝ่ายท้าวสหมลิวัน หนีพระนารายณ์จากทวีปรังกาไปอยู่เมืองบาดาล เมื่อรู้ว่าท้าวสหบดีพรหมสร้างกรุงลงกาและให้จตุรพักตร์ (ธาดาพรหม) ซึ่งเป็นเชื้อสายพรหมและเป็นญาติมาปกครองก็เกิดความยินดี จึงประทับบุษบกแก้วขึ้นมาจากเมืองบาดาลผ่านสะดือทะเลขึ้นมาเพื่อเดินทางมาเข้าเฝ้าท้าวจตุพักตร์ยังกรุงลงกา  แล้วมอบบุษบกแก้วอันเป็นพาหนะวิเศษที่พระอิศวรมอบให้สามารถพาไปได้ทุกแห่งหนสมดังใจนึก เว้นแต่เพียงอย่างเดียวคือห้ามมิให้สตรีที่เป็นหม้ายนั่งตามคำสาปของพระอิศวร  เมื่อสหมลิวันมอบบุษบกแก้วให้จตุรพักตร์ไว้เป็นของขวัญต่างหน้าแล้วก็เดินทางกลับไปอยู่เมืองบาดาลตามเดิม  ส่วนท้าวจตุรพักได้ปกครองกรุงลงกาสืบต่อมาอีกหกหมื่นก็เสด็จสู่สวรรคาลัย

             เอาเป็นว่าตอนนี้ มีความสำคัญคือการสะสมอาวุธวิเศษ เพราะทางฝั่งอยุธยามีพระขรรค์เพชร และอาวุธที่พระอิศวรมอบให้อโนมาตันเป็นเทพศัตราวุธประจำเมือง ส่วนฝั่งกรุงลงกาก็มี คทา ฉัตรแก้วโมลี ที่สหบดีพรหมมอบไว้ และได้บุษบกแก้ว ของพระอิศวรมาเพิ่ม เป็นเทพศัตราวุธประจำกรุงลงกา               

          ต่อจากนี้ไปต้องรอติดตามว่า เกิดอะไรกับอัชบาลแห่งกรุงศรีอยุธยา และเกิดอะไรกับลัสเตียนแห่งกรุงลงการ ใครจะถือกำเนิดขึ้นมาอีก ระหว่างทศกัณฐ์กับพระราม ใครจะมาก่อนมาหลัง รอติดตามกันอีกนิด เพราะตัวละครหลักในตอนเริ่มต้นก็พากันล้มหายตายจากไปหมดทั้งทั้งจตุรพักตร์และอโนมาตัน               


เพิ่มเติม               
   เขาจักรวาล หรือเขาพระสุเมรุ เป็นภูเขาที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักวาล บนยอดเขาเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่อยู่ของพระอินทร์ (ตามความเชื่อในไตรภูมิพระร่วง)                เขาไกรลาส เชื่อว่าเป็นยอดเขาในเขาพระสุเมรุ หรือเป็นภูเขาเดียวกัน เป็นที่สถิตของพระอิศวร (ศิวะ) ตามความเชื่อฮินดู                
  รอบๆ เขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทีท้าวเวชสุวรรณเป็นใหญ่ เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์และอสูรต่าง ล้อมรอบด้วยภูเขาใหญ่ทั้งเจ็ด (สัตมหาบริภัณฑ์) และทะเลสีธันดร         
    คิดแบบง่ายๆ แล้วกัน เขาพระสุเมรุเป็นภูเขาใหญ่ อาจจะมีหลายยอด ยอดนึงเป็นเขาไกรลาสที่อยู่ของพระอิศวร ยอดนึงเป็นที่ตั้งสวรรค์ก็แล้วกัน